วันเสาร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

กีฬาเเชร์บอล
แชร์บอล

  ประวัติแชร์บอล

          กีฬาแชร์บอลไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่ามีกำเนิดหรือเล่นกันมาตั้งแต่เมื่อใด แต่ทั้งนี้ ตั้งแต่ในอดีต กีฬาแชร์บอลเป็นเกมกีฬาที่มุ่งเน้นการปลูกฝัง หรือเป็นการปูพื้นฐานการเล่นกีฬาจำพวกบาสเกตบอล แฮนด์บอล หรือกีฬาประเภทอื่น ๆ โดยมุ่งเน้นให้ผู้เรียนมีทักษะด้านการเคลื่อนไหว รวมถึงทักษะการฝึกฝนเบื้องต้นด้านต่าง ๆ เพื่อเป็นการฝึกความพร้อมของร่างกายและจิตใจ

          ส่วนระเบียบการเล่น หรือ กติกาแชร์บอล ในตอนแรกยังไม่มีระบุขึ้นมาตายตัว เพียงแต่ยึดถือกติกาบาสเกตบอลในบางส่วนมาใช้ โดยการอนุโลมให้เหมาะสมเท่านั้น จากหลักฐานที่ปรากฏผู้ที่คิดค้นกีฬาแชร์บอลขึ้นมาเล่นคือ พันเอกมงคล พรหมสาขา ณ สกลนคร และได้มีการพัฒนาอย่างแพร่หลาย เนื่องจากแชร์บอลเป็นกีฬาที่เล่นง่าย เพราะไม่จำกัดเพศของผู้เล่น คือ อาจจะเล่นรวมทั้งชายและหญิงผสมกัน และสถานที่ สามารถเล่นได้กับทุกสนามไม่ว่าจะเป็น สนามหญ้า พื้นดิน พื้นซีเมนต์ พื้นไม้ ฯลฯ ส่วนลูกบอลที่ใช้จะใช้ลูกเนตบอล หรือลูกวอลเลย์บอล ถ้าไม่มีก็ใช้วัสดุอื่นแทนได้ เช่น ม้วนผ้าเป็นลักษณะกลม ๆ ก็สามารถเล่นได้ ส่วนภาชนะที่ใช่รับลูกบอลนอกจากตะกร้ายังสามารถใช้อย่างอื่นที่ใส่ลูกได้

          โดยจุดประสงค์ของกีฬาแชร์บอล คือ ผู้เล่นแต่ละฝ่ายช่วยกันรับส่งลูกบอลให้ผู้เล่นฝ่ายเดียวกัน นำลูกบอลผ่านฝ่ายตรงข้ามโยนลงไปในตะกร้าของฝ่ายตนเองที่ยืนรอรับอยู่ข้างหน้า(ด้านหลังของฝ่ายตรงข้าม) โดยโยนให้เข้าตะกร้าให้มากที่สุด และในทางตรงกันข้ามอีกฝ่ายก็จะต้องป้องกันไม่ให้ลูกบอลส่งข้ามไปเข้าตะกร้าเช่นกัน

          ปัจจุบันกีฬาแชร์บอลเป็นกีฬาที่นิยมเล่นกันอย่างแพร่หลาย ไม่เพียงแต่เล่นหรือแข่งขันภายในโรงเรียนประถมศึกษาและมัธยมศึกษาเท่านั้น หน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐบาลและเอกชนต่างก็ให้ความสนใจนิยมเล่นกัน และมีการแข่งขันทั้งภายในหน่วยงานหรือระหว่างหน่วยงาน เนื่องจากกีฬาแชร์บอลเป็นสื่ออย่างหนึ่งที่จะช่วยให้เชื่อมความสามัคคีระหว่างกันได้เป็นอย่างดี


แชร์บอล

  กติกาแชร์บอล


แชร์บอล

          1. สนามแชร์บอล

1.1 สนามเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง 16 เมตร (เส้นหลัง) ยาว 32 เมตร (เส้นข้าง) สนามแบ่งเป็นสองส่วนเท่า ๆ กัน ด้วยเส้นแบ่งแดน ขนาดสนามนี้จะเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม โดยมีบริเวณเขตรอบสนามอย่างน้อย 1 เมตร ถ้าเป็นสนามในร่มความสูงจากพื้นสนามขึ้นไปไม่ควรน้อยกว่า 6 เมตร
1.2 วงกลมกลางสนาม ที่จุดกึ่งกลางของเส้นแบ่งแดน ให้เขียนวงกลมรัศมี 1.80 เมตร
1.3 เขตผู้ป้องกันตะกร้า ที่จุดกึ่งกลางของเส้นหลังทั้งสองด้าน เขียนครึ่งวงกลม รัศมี 3.00 เมตร ในสนามเล่น เขตนี้เรียกว่า เขตผู้ป้องกันตะกร้า
1.4 เส้นโทษ ถัดจากจุดกึ่งกลางเส้นหลังเข้าไปในสนาม 8.00 เมตร ลากเส้นให้ขนานกับเส้นหลังยาว 50 เซนติเมตร (โดยลากให้กึ่งกลางของเส้นอยู่ที่กึ่งกลางของความกว้าง)
1.5 เส้นทุกเส้นกว้าง 5 เซนติเมตร (สีขาว) และเป็นส่วนหนึ่งของเขตนั้น





          2. อุปกรณ์การแข่งขัน


แชร์บอล

2.1 เก้าอี้ เป็นเก้าอี้ชนิด 4 ขา มีความแข็งแรงมั่นคง ไม่มีพนักพิง สูง 35-40 เซนติเมตร ขนาดของที่นั่ง กว้าง 30-35 เซนติเมตร หรือเป็นเก้าอี้ที่มีขนาดใกล้เคียงและเป็นชนิดเดียวกันทั้งสองตัว เก้าอี้นี้วางไว้ที่จุดกึ่งกลางของเส้นหลัง โดยให้ขาหน้าของเก้าอี้ทั้งสองขาวางอยู่บนเส้นสนาม


แชร์บอล

2.2 ตะกร้า ขนาดสูง 30-35 เซนติเมตร ปากตะกร้าเป็นรูปทรงกลม มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 30-35 เซนติเมตร ทำด้วยหวายที่ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้เล่น หรือวัสดุอื่น ๆ ที่ไม่เกิดอันตราย มีน้ำหนักเบาเท่ากัน


แชร์บอล
2.3 ลูกบอล ใช้ลูกแชร์บอล หรือลูกฟุตบอลขนาดเบอร์ 4-5 หรือลูกที่ฝ่ายจัดการแข่งขันรับรอง ซึ่งฝ่ายจัดการแข่งขัน จะต้องแจ้งให้ผู้แข่งขันทราบก่อนในระเบียบการแข่งขัน
2.4 นาฬิกาจับเวลา 2 เรือน ใช้สำหรับจับเวลานอก และเวลาแข่งขัน
2.5 ใบบันทึกการเข่งขัน
2.6 ป้ายคะแนน
2.7 สัญญาณหมดเวลาการแข่งขัน (นกหวีด ระฆัง กริ่ง ฯลฯ)
2.8 ป้ายบอกจำนวนครั้งของการฟาวล์ (ถ้ามี)

          3. เวลาการแข่งขัน

3.1 เวลาการแข่งขัน แบ่งออกเป็น 2 ครึ่ง ครึ่งละ 20 นาที พักระหว่างครึ่ง 5 นาที (เวลาการแข่งขันนี้อาจเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสมกับนักกีฬา โดยต้องแจ้งไว้ในระเบียบการแข่งขันก่อน)
3.2 เวลาการแข่งขันเริ่มขึ้นเมื่อ ผู้ตัดสินได้โยนลูกบอลขึ้นระหว่างผู้เล่นสองคนของแต่ละฝ่ายที่อยู่ในวงกลม และลูกบอลได้ถูกผู้เล่นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแล้ว
3.3 เมื่อเริ่มแข่งขันครึ่งเวลาหลัง และเวลาเพิ่มพิเศษแต่ละช่วงให้เปลี่ยนแดนกัน
3.4 เวลานอก ให้แต่ละทีมขอเวลานอกได้ครึ่งเวลาละ 2 ครั้ง ครั้งละ 1 นาที
3.5 การต่อเวลาการแข่งขัน เมื่อผลการแข่งขันเสมอกัน ให้ต่อเวลาเพิ่มพิเศษอีกช่วงละ 5 นาที จนกว่าจะมีผลแพ้ชนะกันหรือจะมีข้อตกลงเป็นอย่างอื่น
3.6 การขอเวลานอกในเวลาเพิ่มพิเศษ ให้ขอเวลานอกได้ช่วงละ 1 ครั้ง
3.7 ชุดใดที่มาแข่งขันช้ากว่ากำหนดเวลาการแข่งขัน 15 นาทีให้ปรับเป็นแพ้

          4. ผู้เล่น

4.1 ชุดหนึ่งประกอบไปด้วยผู้เล่น 12 คน เป็นผู้เล่นในสนาม 7 คน ผู้เล่นสำรอง 5 คน ผู้เล่นสำรองและเจ้าหน้าที่ประจำทีม ต้องนั่งที่ที่คณะกรรมการจัดไว้ให้
4.2 เมื่อเริ่มทำการแข่งขัน ต้องมีผู้เล่นในสนามฝ่ายละ 7 คนและในระหว่างการแข่งขันฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีผู้เล่นน้อยกว่า 5 คน ให้ปรับแพ้
4.3 ผู้เล่นสำรองจะเข้าเล่นได้ เมื่อได้รับอนุญาตจากผู้ตัดสินและต้องทำการเปลี่ยนตัวที่บริเวณเส้นแบ่งแดนด้านเดียวกับโต๊ะเจ้าที่จัดการแข่งขัน (เขตเปลี่ยนตัว)
4.4 ผู้เล่นแต่ละชุดต้องสวมเสื้อที่มี่สีเดียวกัน และติดหมายเลขที่ด้านหน้า ขนาดสูงไม่น้อยกว่า 10 เซนติเมตร ที่ด้านหลังขนาดสูงไม่น้อยกว่า 20 เซนติเมตร ใช้หมายเลข 1 – 12 สีของหมายเลขต้องแตกต่างจากสีเสื้ออย่างชัดเจน
4.5 ห้ามผู้เล่นสวมเครื่องประดับที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้อื่น

          5. ผู้ป้องกันตะกร้า

5.1 ผู้ป้องกันตะกร้าเพียงคนเดียวเท่านั้น ที่มีสิทธิ์เข้าไปในเขตป้องกันตะกร้าได้
5.2 ผู้ป้องกันตะกร้าสามารถเคลื่อนที่ไปในเขตป้องกันตะกร้าพร้อมกับลูกบอลได้ โดยปราศจากข้อจำกัด ภายในเวลา 3 วินาที
5.3 ผู้ป้องกันตะกร้าสามารคออกมาร่วมเล่นในสนามเล่นได้แต่ต้องปฏิบัติตนเหมือนผู้เล่นในสนามทั่ว ๆ ไป
5.4 การเปลี่ยนแปลงตำแหน่งผู้ป้องกันตะกร้าโดยไม่แจ้งและละเมิดกติกาอย่างร้ายแรง ผู้ตัดสินจะให้ออกจากการแข่งขัน (ไล่ออก)

          6. ผู้ถือตะกร้า

6.1 ต้องอยู่บนเก้าอี้พร้อมกับตะกร้า
6.2 ไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมเล่นกับผู้เล่นในสนามขณะกำลังแข่งขัน (ส่งข้าง)
6.3 ห้ามใช้ตะกร้าหรือส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกาย กีดกันการป้องกันของผู้ป้องกันตะกร้า (ส่งข้าง)
6.4 สามารถเคลื่อนไหวตะกร้าได้ทุกลักษณะ
6.5 ผู้ถือตะกร้า ต้องใช้ตะกร้ารับลูกบอลจากการยิงประตูทุกลักษณะทิศทาง และต้องทรงตัวอยู่บนเก้าอี้ได้อย่างมั่นคง

          7. เขตผู้ป้องกันตะกร้า

7.1 เขตป้องกันตะกร้าเป็นพื้นที่ของป้องกันตะกร้าเพียงคนเดียวเท่านั้น
7.2 ผู้เล่นในสนามเข้าไปในเขตป้องกันตะกร้า จะถูกลงโทษดังนี้
     7.2.1 ฝ่ายป้องกัน เข้าไปในขณะที่มีการยิงประตู ถ้าลูกบอลลงตะกร้าให้ได้คะแนน ถ้าลูกบอลไม่ลงตะกร้าให้ยิงลูกโทษ
     7.2.2 ฝ่ายป้องกันเข้าไปในขณะที่ไม่มีการยิงประตู (ส่งข้าง)
     7.2.3 ฝ่ายรุก เข้าไปในเขตป้องกันตะกร้าของฝ่ายตรงข้าม (ส่งข้าง)
7.3 ลูกบอลที่วาง หรือกลิ้งอยู่ในเขตป้อกันตะกร้าเป็นผู้ป้องกันตะกร้า และจะต้องเล่นอย่างทันที

          8. การเล่นลูกบอล

อนุญาตให้ผู้เล่นกระทำ ดังนี้

8.1 จับ ตี ปัด กลิ้ง ส่ง หรือขว้างลูกบอลด้วยมือ แขน ศีรษะ หรือลำตัวบริเวณเหนือสะเอวขึ้นไป
8.2 ครอบครองลูกบอลด้วยมือเดียวหรือสองมือ หรือกดลูกบอลที่อยู่บนพื้นสนาม หรือโยนลูกบอลขึ้นในอากาศได้ภายในเวลาไม่เกิน 3 วินาที
8.3 ถือลูกบอลและเคลื่อนไหวไปมาได้ด้วยการหมุนตัวโดยมีเท้าหลัก
8.4 กระโดดรับ ส่ง หรือยิงประตู
8.5 ใช้ลำตัวบังคู่ต่อสู้ ในขณะที่กำลังครอบครองลูกบอลอยู่

          ไม่อนุญาตให้ผู้เล่นกระทำ ดังนี้

8.6 ห้ามเลี้ยงลูกบอล (ส่งข้าง) ยกเว้นกรณีการรับลูกไม่ได้ (FUMBLE) หรือการตัดลูกบอล
8.7 เจตนาพุ่งตัวลงเพื่อครอบครองลูกบอล (ส่งข้าง)
8.8 เล่นลูกบอลด้วยส่วนหนึ่งส่วนใด ตั้งแต่สะเอวลงไป (ส่งข้าง)
8.9 ยื่นลูกบอลให้เพื่อนร่วมทีมด้วยมือต่อมือ (บันทึกการฟาวล์)
8.10 ทำให้คู่ต่อสู้ได้รับอันตรายโดยใช้ลูกบอล (ยิงโทษ)
8.11 ทุบ ตบ ตี ลูกบอลจากมือคู่ต่อสู้ (ส่งข้าง)
8.12 กีดขวางคู่ต่อสู้ด้วยมือ แขน ขา หรือลำตัวในลักษณะที่เป็นอันตรายกับคู่ต่อสู้ (ขัดขวาง)
8.13 ดึง ดัน ผลัก ชก ชน เตะ คู่ต่อสู้ทุกลักษณะ (ส่งข้างหรือยิงโทษ หรือตัดสิทธิ์ให้ออกจากการแข่งขัน)
8.14 ทำผิดกติกาอย่างร้ายแรงกับคู่ต่อสู้ (ยิงโทษ และตัดสิทธิ์ให้ออกจากการ

          9. การได้คะแนน

9.1 จะนับคะแนนเมื่อลูกบอลได้ลงตะกร้าจากการยิงประตูโดยตรง โดยผู้ถือตะกร้าต้องทรงตัวอยู่บนเก้าอี้อย่างมั่นคง และผู้ตัดสินในสนามได้ให้สัญญาณนกหวีดแล้ว
9.2 ผู้เล่นฝ่ายป้องกันพยายามป้องกันโดยผิดกติกา ถ้าลูกบอลลงตะกร้า ให้นับว่าได้คะแนน
9.3 ถ้าผู้จับ เวลาให้สัญญาณหมดเวลาการแข่งขันก่อนที่ลูกบอลจะหลุดจากมือผู้ยิงประตูถือว่าไม่ได้คะแนน
9.4 หลังจากลูกบอลลงตะกร้าจาการยิงประตูธรรมดาหรือหลังจากการยิงโทษได้ผล ผู้ป้องกันตะกร้าต้องนำลูกบอลส่งเข้าเล่นจากเขตป้องกันตะกร้า
9.5 คะแนนที่ได้จากการยิงประตู มีค่า 2 คะแนน คะแนนที่ได้จากการยิงโทษมีค่าครั้งละ 1 คะแนน
9.6 ฝ่ายที่ทำคะแนนได้มากกว่าเป็นฝ่ายชนะในการแข่งขัน

          10. การเริ่มเล่นและการโยนลูกกระโดด

10.1 การเริ่มเล่นในครึ่งเวลาแรก และครึ่งเวลาหลัง เวลาเพิ่มพิเศษ และการหยุดเล่นอื่น ๆ ที่ต้องทำลูกกระโดด จะเริ่มโดยผู้ตัดสินเป็นผู้โยนลูกกระโดดที่วงกลมกลางสนาม ระหว่างผู้กระโดด
10.2 ตัดสินเป็นผู้โยนลูกกระโดดขึ้นไปบนอากาศ ในแนวดิ่งระหว่างผู้กระโดดทั้งสองฝ่าย
10.3 ผู้เล่นอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ผู้กระโดดต้องอยู่นอกวงกลม ณ ที่ใด ๆ ก็ได้ในเขตสนามแข่งขัน
10.4 จะโยนลูกกระโดดเมื่อ
     10.4.1 เริ่มการแข่งขันครึ่งเวลาแรก ครึ่งเวลาหลังและเวลาเพิ่มพิเศษ
     10.4.2 เมื่อมีการหยุดเล่นโดยที่ไม่มีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดทำผิดกติกา
     10.4.3 เมื่อเกิดลูกยึดของผู้เล่นทั้งสองฝ่าย (ผู้ทำลูกยึดต้องมาเป็นผู้กระโดด)
     10.4.4 เมื่อทั้งสองฝ่ายทำผิดกติกาพร้อมกัน ให้ฝ่ายที่ครอบครองบอลส่งบอลเข้าเล่นต่อ หลังจากบันทึกฟาวล์ทั้ง 2 คน
10.5 ผู้กระโดดต้องปัดลูกบอลในขณะที่ลูกบอลลอยอยู่ในจุดสูงสุดได้คนละไม่เกิน 2 ครั้ง จากนั้นผู้กระโดดจะถูกลูกบอลอีกไม่ได้ จนกว่าลูกบอลจะได้ถูกผู้เล่นคนอื่น ๆ

          11. การส่งลูกเข้าเล่นจากเส้นข้าง

11.1 จะส่งลูกเข้าเล่น เมื่อลูกบอลทั้งลูกได้ผ่านเส้นข้างหรือเส้นหลังและถูกพื้นที่นอกสนามแข่งขัน (ลุกลอยในอากาศยังไม่ถือว่าเป็นลูกออก)
11.2 ผู้เล่นฝ่ายรับทำลูกบอลออกเส้นหลัง ให้ผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามส่งลูกเข้าเล่นจากมุมสนามด้านที่ลูกบอลออก
11.3 ผู้เล่นฝ่ายรุกทำให้ลูกบอลออกเส้นหลัง ให้ฝ่ายตรงข้ามนำลูกมาส่งเข้าเล่นจากเส้นข้างมุมสนามด้านที่ลูกออก
11.4 ผู้ส่งลุกเข้าเล่นจะส่งด้วยวิธีใดก็ได้ภายในกำหนด 5 วินาที หลังจากผู้ตัดสินส่งลูกบอลให้ผู้เล่นแล้ว
11.5 ผู้ตัดสินจะส่งลูกบอลให้ผู้เล่นส่งเข้าเล่น ในกรณีที่มีการส่งบอลเข้าเล่นทุกครั้ง
11.6 จะให้ส่งลุกเข้าเล่นเมื่อผู้ป้องกันตะกร้าและผู้เล่นฝ่ายรุกมีความพร้อมที่จะเล่น จะต้องส่งลูกบอลเข้าเล่น เมื่อผู้ตัดสินส่งบอลให้หรือผู้ตัดสินเป่านกหวีดให้ส่ง ภายในเวลา 5 วินาที

          12. การยิงโทษ

จะให้ยิงโทษเมื่อ

12.1 ผู้ป้องกันตะกร้า
     12.1.1 ทำการป้องกันในลักษณะที่เป็นอันตรายกับคู่ต่อสู้ (ข้อ 5.5)
     12.1.2 นำลูกบอลจาสนามเล่นเข้าไปในเขตป้องกันตะกร้า (ข้อ 5.7)
     12.1.3 เจตนาปัดตะกร้าถูกตัวผู้ถือตะกร้าใช้เก้าอี้หรือส่วนอื่น ๆ ของเก้าอี้เพื่อประโยชน์ในการป้องกัน (ข้อ 5.9 )
12.2 ผู้เล่นอื่น ๆ ในสนาม
     12.2.1 ฝ่ายป้องกันเข้าไปในเขตประตูคณะมีการยิงประตู (ข้อ 7.2.1)
     12.2.2 เจตนาทำให้คู่ต่อสู้ได้รับอันตรายโดยใช้ลูกบอล (ข้อ 8.10)
     12.2.3 ดึง ดัน ผลัก ชน ชก เตะคู่ต่อสู้ (ข้อ 8.13)
     12.2.4 ทำผิดกติการอย่างร้ายแรงกับคู่ต่อสู้ และผู้ตัดสิน (ข้อ 8.14 )
     12.2.5 การฟาวล์โดยเจตนา (ข้อ 14.1.2)
12.3 ผู้ยิงโทษต้องเป็นผู้เล่นที่กำลังอยู่ในสนาม
12.4 ต้องยิงโทษภายใน 3 วินาที หลังจากผู้ตัดสินได้ส่งบอลให้
12.5 ผู้ยิงโทษต้องไม่ให้เท้าสัมผัสเส้นโทษ
12.6 จะยิงโทษด้วยวิธีใด ๆ ก็ได้
12.7 ผู้ป้องกันตะกร้าและผู้เล่นอื่น ๆ ทั้งสองฝ่ายต้องอยู่ห่างจากผู้ยิงโทษอย่างน้อย 3 เมตร
12.8 ผู้ถือตะกร้าอยู่ขนเก้าอี้พร้อมตะกร้า จะถือตะกร้าอยู่ในลักษณะ

          13. การเปลี่ยนตัวผู้เล่น

13.1 จะทำการเปลี่ยนตัว ผู้ล่นได้เมื่อลูกตาย และฝ่ายที่ขอเปลี่ยนตัวเป็นครอบครองลูกบอลอยู่ หรือเมื่อมีการยิงโทษ
13.2 ผู้เล่นที่จะเปลี่ยนตัวเข้าเล่นต้องเปลี่ยนตัวที่บริเวณเขตการเปลี่ยนตัวเท่านั้น
13.3 จะเปลี่ยนหน้าที่การเล่นได้เมื่อได้แจ้งให้ผู้ตัดสินทราบขณะที่ลูกตาย
13.4 ผู้เล่นที่กระทำฟาวล์ครบ 5 ครั้ง ต้องออกจากการแข่งขัน แต่สามารถเปลี่ยนตัวผู้เล่นอื่น ๆ เข้าแทนได้
13.5 ผู้เล่นที่ถูกให้ออกจากการแข่งขัน สามารถเปลี่ยนตัวผู้เล่นอื่น ๆ เข้าแทนได้

          14. การทำฟาวล์

          การบันทึกฟาวล์ การทำผิดมารยาท และการลงโทษของนักกีฬาและเจ้าหน้าที่ประจำทีม

14.1 การทำฟาวล์ต้องบันทึกทุกครั้ง
     14.1.1 ผู้เล่นที่กระทำการฟาวล์ครบ 5 ครั้ง ต้องออกจากการแข่งขัน
     14.1.2 การฟาวล์โดยเจตนา จะถูกลงโทษโดยการยิงโทษ
     14.1.3 การฟาวล์ขณะยิงประตู ให้บันทึกเป็นการฟาวล์ 1 ครั้ง (ยิงโบนัส)
14.2 การทำผิดมารยาทของนักกีฬาและเจ้าหน้าที่ประจำทีม
     14.2.1 การทำผิดซ้ำ ๆ
     14.2.2 การแสดงที่ไม่มีน้ำใจนักกีฬา
     14.2.3 การใช้วาจาไม่สุภาพให้บันทึกการฟาวล์ผู้ฝึกสอน ถ้าผู้ฝึกสอนฟาวล์ 3 ครั้งให้ออกจากการเป็นผู้ฝึกสอน และให้ลงโทษยิงประตู 1 ครั้ง และส่งบอลเข้าเล่นที่กลางสนาม
14.3 การลงโทษ 3 ขั้นตอน
     14.3.1 เตือนและบันทึก
     14.3.2 ยิงโทษและบันทึก
     14.3.3 ให้ออกจากการแข่งและบันทึก

          15. ผู้ตัดสิน

15.1 การแข่งขันครั้งหนึ่งประกอบด้วยผู้ตัดสิน 2 คน
15.2 ผู้ตัดสินมีหน้าที่ควบคุมการแข่งขัน ตั้งแต่เริ่มเล่นจนถึงสิ้นสุดการแข่งขัน
15.3 ผู้ตัดสินต้องทำการเสี่ยงเพื่อเลือกแดนต่อหน้า หัวหน้าชุดทั้งสองทีม
15.4 ขณะทำการแข่งขัน ถ้าผู้ตัดสินไม่สามารถทำการตัดสินได้ตลอดการแข่งขัน คณะกรรมการจัดการแข่งขันสามารถจัดหาผู้ตัดสินสำรองเข้าทำหน้าที่แทนได้ หรืออาจปฏิบัติหน้าที่เพียงคนเดียวถ้าไม่สามารถหาผู้อื่นแทนได้
15.5 ผู้ตัดสินเป่านกหวีดเมื่อ
     15.5.1 ลูกออก
     15.5.2 มีการทำผิดกติกาทุกชนิด
     15.5.3 มีการยิงประตูโทษได้ผล
     15.5.4 มีการให้เวลานอก
     15.5.5 หมดเวลานอก
     15.5.6 เกิดการบาดเจ็บ
     15.5.7 เกิดลูกยึด
     15.5.8 ผู้ตัดสินขอเวลานอก
     15.5.9 หมดเวลาการแข่งขัน
     15.5.10 การเตือนและอื่น

          16. เจ้าหน้าที่

          เจ้าหน้าที่ประกอบด้วย

16.1 ผู้บันทึก 1 คน
16.2 ผู้จับเวลา 1 คน
16.3 ผู้ใส่ป้ายคะแนน 1 คน



วิธีการเล่นปิงปอง
 
 
วิธีการเล่นปิงปอง


กีฬาเทเบิลเทนนิส หรือ ปิงปอง ที่เรารู้จักกันนั้น ถือเป็นกีฬาที่มีความยากในการเล่น เป็นอันดับต้นๆ ของโลก เนื่องจากธรรมชาติของกีฬาประเภทนี้นั้น ถูกจำกัดให้ตีลูกปิงปองลงบนโต๊ะของคู่ต่อสู้ ซึ่งพื้นที่บนฝั่งตรงข้ามมีเพียง พื้นที่ แค่ 4.5 ฟุต X 5 ฟุตเท่านั้น และลูกปิงปองยังมีความเบามาก เพียง 2.7 กรัม เท่านั้น และความเร็วในการเคลื่อนที่จากฝั่งหนึ่ง ไปยังอีกฝั่งหนึ่ง ยังใช้เวลาไม่ถึง 1 วินาทีอีกต่างหาก แถมลูกปิงปองที่ลอยอยู่ในอากาศนั้น ยังมีความหมุนรอบตัวเองอีกด้วย ซึ่งลูกปิงปองที่กำลังเคลื่อนที่มาหาเรานั้น เราจะต้องตีกลับไปอีกด้วย เพราะไม่ตี หรือ ตีไม่ได้ ก็หมายถึงการเสียคะแนนทันที



แต่ในความยากนั้น ก็ย่อมมีประโยชน์สำหรับผู้เล่นเหมือนกัน เพราะ เป็นกีฬาที่ต้องใช้ทุกส่วนของร่างกายร่วมกันทั้งหมด ซึ่งส่วนต่างๆ ที่ต้องใช้ มี


1. สายตา
สายตาจะต้องจ้องมองลูกอยู่ตลอดเวลา แต่การจ้องลูกอย่างเดียวก็ยังไม่เพียงพอ เพราะจะต้องจ้องมองและสังเกตหน้าไม้ของคู่ต่อสู้อีกด้วยว่า ตีลูกความหมุนลักษณะใดมาหาเรา

2. สมอง
ปิงปอง เป็นกีฬาที่ต้องใช้สมองในการคิดเป็นอย่างมาก เพราะจะต้องคิดอยู่ตลอดเวลา รวมถึงต้องวางแผนการเล่นอีกด้วย

3. มือ
มือที่ใช้จับไม้ปิงปอง จะต้องคล่องแคล่วและว่องไว รวมถึงต้องรู้สึกได้เมื่อลูกปิงปองสัมผัสถูกหน้าไม้

4. ข้อมือ
ในการตีบางลักษณะ จำเป็นต้องใช้ข้อมือเข้าช่วย ลูกจึงจะมีความหมุนมากยิ่งขึ้น

5. แขน
ต้องมีพลกำลังและมีความอดทนในการฝึกซ้อมที่ต้องซ้อมแบบซ้ำและซ้ำอีก

6. ลำตัว 
การตีลูกปิงปองในบางจังหวะ  ต้องใช้ลำตัวเข้าช่วย

7. ต้นขา
แน่นอนว่าเมื่อกีฬาปิงปองเป็นกีฬาที่มีความเร็วสูง ต้นขาจึงต้องแข็งแรง และเตรียมพร้อมในการเคลื่อนที่ตลอดเวลา

8. หัวเข่า
ต้องย่อเข่า เพื่อเตรียมพร้อมในการเคลื่อนที่ 

9. เท้า
ต้องเคลื่อนที่เข้าหาลูกปิงปองตลอดเวลา หากเท้าไม่เคลื่อนที่เข้าหาลูกปิงปอง ก็จะทำให้ไม่มีฟุตเวิร์ด และตามตีลูกปิงปองไม่ทัน


ที่มา:https://sites.google.com/
 
กีฬาปิงปอง
ปิงปอง

 
ประวัติกีฬาปิงปอง หรือ เทเบิลเทนนิส
 
          กีฬาปิงปองได้เริ่มขึ้นครั้งแรก ในปี ค.ศ. 1890 (พ.ศ. 2433) ที่ประเทศอังกฤษ โดยในอดีตอุปกรณ์ที่ใช้เล่นปิงปองเป็นไม้หุ้มหนังสัตว์ ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับไม้ปิงปองในปัจจุบัน ส่วนลูกที่ใช้ตีเป็นลูกเซลลูลอยด์ ซึ่งทำจากพลาสติกกึ่งสังเคราะห์ โดยเวลาที่ลูกบอลกระทบกับพื้นโต๊ะ และไม้ตีจะเกิดเสียง "ปิก-ป๊อก"  ดังนั้น กีฬานี้จึงถูกเรียกชื่อตามเสียงที่ได้ยินว่า "ปิงปอง" (PINGPONG) และได้เริ่มแพร่หลายในกลุ่มประเทศยุโรปก่อน
 
          ซึ่งวิธีการเล่นในสมัยยุโรปตอนต้น จะเป็นการเล่นแบบยัน (BLOCKING)  และแบบดันกด (PUSHING) ซึ่งต่อมาได้พัฒนามาเป็นการเล่นแบบ BLOCKING และ CROP  หรือเรียกว่า การเล่นถูกตัด ซึ่งวิธีการเล่นนี้เป็นที่นิยมมากแถบนยุโรป ส่วนวิธีการจับไม้ จะมี 2 ลักษณะ คือ จับไม้แบบจับมือ (SHAKEHAND) ซึ่งเราเรียกกันว่า "จับแบบยุโรป" และการจับไม้แบบจับปากกา (PEN-HOLDER) ซึ่งเราเรียกกันว่า "จับไม้แบบจีน" 
 
          ในปี ค.ศ. 1900 (พ.ศ.  2443) เริ่มปรากฏว่า มีการหันมาใช้ไม้ปิงปองติดยางเม็ดแทนหนังสัตว์ ดังนั้นวิธีการเล่นแบบรุก หรือแบบบุกโจมตี (ATTRACK หรือ OFFENSIVE)  โดยใช้ท่า หน้ามือ (FOREHAND)  และ หลังมือ  (BACKHAND) เริ่มมีบทบาทมากขึ้น และยังคงนิยมการจับแบบไม้แบบยุโรป ดังนั้นจึงถือว่ายุโรปเป็นศูนย์รวมของกีฬาปิงปองอย่างแท้จริง
 
          ต่อมาในปี ค.ศ. 1922 (พ.ศ. 2465)  ได้มีบริษัทค้าเครื่องกีฬา จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าว่า "PINGPONG" ด้วยเหตุนี้ กีฬาปิงปองจึงต้องเปลี่ยนชื่อเป็น เทลเบิลเทนนิส (TABLE TENNIS) และในปี ค.ศ. 1926 (พ.ศ. 2469) ได้มีการประชุมก่อตั้งสหพันธ์เทเบิลเทนนิสนานาชาติ (INTERNATIONAL TABLETENNIS FEDERATION : ITTF) ขึ้นที่กรุงลอนดอนในเดือนธันวาคม  พร้อมกับมีการจัดการแข่งขันเทเบิลเทนนิสแห่งโลกครั้งที่ 1  ขึ้น เป็นครั้งแรก
 
          จากนั้นในปี ค.ศ. 1950 (พ.ศ. 2493) เป็นยุคที่ประเทศญี่ปุ่นซึ่งได้หันมาสนใจกีฬาเทเบิลเทนนิสมากขึ้น และได้มีการปรับวิธีการเล่นโดยเน้นไปที่ การตบลูกแม่นยำ และหนักหน่วง และการใช้จังหวะเต้นของปลายเท้า ต่อมาในปี ค.ศ. 1952 (พ.ศ. 2495) ญี่ปุ่นได้เข้าร่วมการแข่งขันเทเบิลเทนนิสโลกเป็นครั้งแรก ที่กรุงบอมเบย์ ประเทศอินเดีย และในปี ค.ศ. 1953 (พ.ศ. 2496) สาธารณรัฐประชาชนจีนจึงได้เข้าร่วมการแข่งขันเป็นครั้งแรกที่กรุงบูคาเรสต์ ประเทศรูมาเนีย  ทำให้จึงกีฬาเทเบิลเทนนิสกลายเป็นกีฬาระดับโลกที่แท้จริง โดยในยุคนี้ญี่ปุ่นใช้การจับไม้แบบจับปากกา  และมีการพัฒนาไม้ปิงปองโดยใช้ยางเม็ดสอดไส้ด้วยฟองน้ำ เพิ่มเติมจากยางชนิดเม็ดเดิมที่ใช้กันทั่วโลก

 

ปิงปอง


          ในเรื่องเทคนิคของการเล่นนั้น ยุโรปรุกด้วยความแม่นยำ และมีช่วงตีวงสวิงสั้น ๆ ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับญี่ปุ่นที่ใช้ปลายเท้าเป็นศูนย์กลางของการตีลูกแบบรุกอย่างต่อเนื่อง ทำให้ญี่ปุ่นสามารถชนะการเล่นของยุโรปได้  แม้ในช่วงแรกหลายประเทศจะมองว่าวิธีการเล่นของญี่ปุ่น เป็นการเล่นที่ค่อนข้างเสี่ยง แต่ญี่ปุ่นก็สามารถเอาชนะในการแข่งขันติดต่อกันได้หลายปี เรียกได้ว่าเป็นยุคมืดของยุโรปเลยทีเดียว
 
          ในที่สุดสถานการณ์ก็เปลี่ยนไป เมื่อสาธารณรัฐประชาชนจีนสามารถเอาชนะญี่ปุ่นได้ด้วยวิธีการเล่นที่โจมตีแบบรวดเร็ว ผสมผสานกับการป้องกัน  ซึ่งจีนได้ศึกษาการเล่นของญี่ปุ่น ก่อนนำมาประยุกต์ให้เข้ากับการเล่นแบบที่จีนถนัด กระทั่งกลายเป็นวิธีการเล่นของจีนที่เราเห็นในปัจจุบัน
 
          หลังจากนั้นยุโรปได้เริ่มฟื้นตัวขึ้นมาอีกครั้ง เนื่องจากนำวิธีการเล่นของชาวอินเดียมาปรับปรุง และในปี ค.ศ. 1970 (พ.ศ. 2513) จึงเป็นปีของการประจันหน้าระหว่างผู้เล่นชาวยุโรป และผู้เล่นชาวเอเชีย แต่นักกีฬาของญี่ปุ่นได้แก่ตัวลงแล้ว ขณะที่นักกีฬารุ่นใหม่ของยุโรปได้เริ่มเก่งขึ้น  ทำให้ยุโรปสามารถคว้าตำแหน่งชนะเลิศชายเดี่ยวของโลกไปครองได้สำเร็จ
 
          จากนั้นในปี ค.ศ. 1971 (พ.ศ. 2514) นักเทเบิลเทนนิสชาวสวีเดน  ชื่อ  สเตลัง  เบนค์สัน  เป็นผู้เปิดศักราชใหม่ให้กับชาวยุโรป  โดยในปี ค.ศ. 1973 (พ.ศ. 2516) ทีมสวีเดนสามารถคว้าแชมป์โลกได้ จึงทำให้ชาวยุโรปมีความมั่นใจในวิธีการเล่นที่ปรังปรุงมา ดังนั้นนักกีฬาของยุโรป และนักกีฬาของเอเชีย จึงเป็นคู่แข่งที่สำคัญ ในขณะที่นักกีฬาในกลุ่มชาติอาหรับ และลาตินอเมริกา  ก็เริ่มก้าวหน้ารวดเร็วขึ้น และมีการแปลกเปลี่ยนความรู้ทางด้านเทคนิค ทำให้การเล่นแบบตั้งรับ ซึ่งหายไปตั้งแต่ปี  ค.ศ. 1960 (พ.ศ. 2503)  เริ่มกลับมามีบทบาทอีกครั้ง
 
          จากนั้นจึงได้เกิดการพัฒนาเทคนิคการเปลี่ยนหน้าไม้ในขณะเล่นลูก  และมีการปรับปรุงหน้าไม้ซึ่งติดด้วยยางปิงปอง  ที่มีความยาวของเม็ดยางมากกว่าปกติ โดยการใช้ยางที่สามารถเปลี่ยนวิถีการหมุน และทิศทางของลูกเข้าได้ จึงนับได้ว่ากีฬาเทเบิลเทนนิสเป็นกีฬาที่แพร่หลายไปทั่วโลก โดยมีการพัฒนาอุปกรณ์ และมีวิธีการเล่นใหม่ ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา กระทั่งกีฬาเทเบิลเทนนิสได้ถูกบรรจุเป็นการแข่งขันประเภทหนึ่งในกีฬาโอลิมปิก เมื่อปี ค.ศ. 1988 (พ.ศ. 2531) ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงโซล ประเทศสาธารณรัฐเกาหลี
 
          สำหรับประวัติกีฬาเทเบิ้ลเทนนิสในประเทศไทยนั้น ทราบเพียงว่า คนไทยรู้จักคุ้นเคย และเล่นกีฬาเทเบิลเทนนิสมาเป็นเวลาช้านาน แต่รู้จักกันในชื่อว่า กีฬาปิงปอง โดยไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่า มีการนำกีฬาชนิดนี้เข้ามาเล่นในประเทศไทยตั้งแต่เมื่อใด และใครเป็นผู้นำเข้ามา แต่ปรากฏว่ามีการเรียนการสอนมานานกว่า 30 ปี  โดยในปี พ.ศ. 2500 ประเทศไทยได้มีการจัดตั้งสมาคมเทเบิลเทนนิสสมัครเล่นแห่งประเทศไทย และมีการแข่งขันของสถาบันต่างๆ รวมทั้งมีการแข่งขันชิงแชมป์ถ้วยพระราชทานแห่งประเทศไทย ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

 

ปิงปอง



วิธีการเล่นฟุตซอล





วิธีการฝึกสอน :
 การเลือกวิธีฝึกสอนขึ้นอยู่กับความสามารถวัย และระยะเวลาของการพัฒนาของผู้เล่น
พื้นที่ จำนวนและเป้าหมายของการฝึก  เช่น  หากเป็นผู้เล่นใหม่ควรเริ่มจากการฝึกเทคนิคและ 
ทักษะก่อน   แต่ผู้เล่นทุกคนมีระดับการเรียนรู้และการพัฒนาที่ต่างกัน ดังนั้น วิธีการและรูปแบบ 
อาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้เล่นและเป้าหมายของการฝึกเป็นสารคัญ
วิธีการฝึกสอน 
 การฝึกเทคนิค : หมายถึง การฝึกเฉพาะบุคคลหรือการฝึกรวมทั้งกลุ่ม เช่น การส่ง-รับ
การยิงประตู เป็นต้น โดยไม่มีความกดดันและต้องให้ถูกต้องรวมทั้งการเคลื่อนไหวและเคลื่อนที่

   การเคลื่อนที่เบื้องต้น  
           1.   การทรงตัว           
           2.  การเตรียมตัว          
           3.  การเคลื่อนที่ทั่วไป           
           4.  การเคลื่อนท่ีโดยการ  ก้าว – ลาก – ชิด (สไลด์)  ไปด้านข้าง ทั้งซ้ายและขวา           
           5.  การเคลื่อนที่โดยการ  ก้าว – ลาก – ชิด (สไลด์)  ไปข้างหน้าและข้างหลัง           
           6.  การเคลื่อนที่โดยการ  ก้าว – ลาก – ชิด (สไลด์)  ไปตามจุดทกี่ําหนด         
           7.  วิ่งออมหลักไปและกลับ           
           8.  การเคลื่อนที่แบบสเต็บขาตึง           
           9.  การเคลื่อนที่แบบสเต็บงอเข่า         
          10. การเคลื่อนท่ีแบบวิ่งข้ามกรวย

การสร้างความคุ้นเคยกับลูกฟุตซอล 
               การสร้างความคุ้นเคยกับลูกฟุตซอล  เป็นทักษะพื้นฐานของกีฬาฟุตซอลอย่างหนึ่ง   และมคีวามจําเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้เล่นใหม่    การที่จะเล่นกฬีาฟุตซอลให้ได้ดี   จะต้องสามารถครอบครองลูกฟุตซอลให้ เคลื่อนที่ไปในทิศทางที่ต้องการได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว    ด้วยคุณสมบัติของลูกฟุตซอลที่มีรูปทรงกลมและ มีขนาดเลก็  ทําให้ลูกฟุตซอลมีความยืดหยุ่นในตัวของมันสูง    การไดสัมผัสกับลูกฟุตซอลบ่อยๆ    จะทําให้สามารถบังคับและครอบครองลูกฟุตซอลได้ดี     มีวิธีการสร้างความคุ้นเคยกับลูกฟุตซอล 

       การเตะลูกฟุตซอลด้วยข้างเท้าด้านใน  
                การเตะลูกฟุตซอลด้วยข้างเท้าด้านใน   หรืออีกอย่างหนึ่งเรียกว่า  ลูกแป   โดยใช้ส่วนของข้างเท้าด้านในเตะลูกฟุตซอล เป็นการเตะขั้นพื้นฐานที่ง่าย    เป็นการเตะส่งที่มีความแม่นยํา  รวดเร็วและเตะได้ทกโอกาส   แต่ต้องเป็นระยะสั้นๆ ใกล้ๆ   เช่น การส่งผ่านหรือยิงประตูระยะที่หวังผลแน่นอน   ควรเป็นระยะทางไม่เกิน 10   เมตร  วิธีการเตะลูกฟุตซอลด้วยข้างเท้าด้านใน    การเตะลูกฟุตซอลด้วยข้างเท้าด้านใน   มีวิธีการดังนี้
                1. วางเท้าที่ไม่ได้เตะให้ได้ระดับเดียวกับลูกฟตุซอลปลายเท้าชี้ไปในทิศทางที่ต้องการ
                2.  แบะเท้าข้างที่จะใช้เตะให้ปลายเท้าหันออกจากตัว เป็นมุมฉากกับเท้าอีกด้านหนึ่ง  ย่อเข่าแบะออกด้านนอกเล็กน้อย
                3.  เหวยี่งเท้าที่จะเตะแค่สะโพกโดยใช้แรงเหวี่ยงจากสะโพก   แขนทั้งสองข้างเหวยี่งเป็นธรรมชาติตามจังหวะเท้า  ย่่อเข่าที่ไม่ได้เตะลงเล็กนอ้ยโน้มตัวไปข้างหน้า 
                4.   กjอนเตะให้เหวี่ยงเท้าไปด้านหลังตรงๆ  ให้ส่วนกลางเท้าด้านในถูกหรือสัมผัสตรงกึ่งกลางหรือส่วนต่างๆ  ของลูกฟุตซอลตามทิศทางที่ต้องการ   เตะส่งลูกให้แรงโดยใช้แรง ส่งจากสะโพกเป็นจุดหมุน 
                5.   เมื่อเตะลูกฟุตซอลให้ส่งเท้าตามทิศทางของลูกฟุตซอลที่ถูกเตะออกไป 


ที่มา:https://sites.googl
กีฬาฟุตซอล
ประวัติฟุตซอล ข้อมูล กีฬาฟุตซอล


ประวัติฟุตซอล

          คำว่า ฟุตซอล มีรากศัพท์มาจากภาษาสเปนหรือโปรตุเกส ที่ว่า FUTbol หรือ FUTebol และภาษาสเปนหรือฝรั่งเศสเรียกคำว่า Indoor เป็นคำว่า SALa เมื่อนำมารวมกันจึงกลายเป็นคำว่า ฟุตซอล

          กีฬาฟุตซอล ถือกำเนิดขึ้นในประเทศเเคนาดา เมื่อปี ค.ศ. 1854 (พ.ศ. 2397) เนื่องจากเมื่อย่างเข้าหน้าหนาว หิมะตกคลุมทั่วบริเวณ ทำให้นักกีฬาไม่สามารถเล่นกีฬาฟุตบอลกลางเเจ้งได้ จึงหันมาเล่นฟุตบอลในร่ม โดยใช้โรงยิมบาสเกตบอลเป็นสนามเเข่ง ทำให้ช่วงนั้นเรียกกีฬาฟุตซอลว่าIndoor soccer (อินดอร์ซอคเกอร์) หรือ five a side soccer

          ปี ค.ศ. 1930 (พ.ศ. 2473) ฮวน คาร์ลอส เซอเรียนี จากเมืองมอนเตวิเดโอ ประเทศอุรุกวัย  ได้นำกีฬาฟุตซอลไปใช้ในสมาคม YMCA (Young Man's Christuan Association) โดยใช้สนามบาสเกตบอลในการเล่นทั้งภายในและภายนอกอาคาร ทำให้กีฬา Indoor soccer ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ

          ปี ค.ศ. 1932 (พ.ศ. 2475) โรเจอร์ เกรน ได้บัญญัติกฎเพื่อใช้เป็นมาตรฐานควบคุมกีฬาชนิดนี้ และใช้มาจนถึงทุกวันนี้ หลังจากนั้นไม่นาน กีฬาชนิดนี้ก็เเพร่หลายไปทั่วโลก เป็นที่นิยมทั่วทั้งทวีปอเมริกาใต้ ทวีปยุโรป และแพร่กระจายไปทั่วโลก

          ปี ค.ศ. 1965 (พ.ศ. 2508) มีการจัดการเเข่งขันฟุตซอลนานาชาติเป็นครั้งแรก และประเทศปารากวัยก็เป็นทีมชนะเลิศ ต่อจากนั้นก็มีการจัดเเข่งขันในระดับนานาชาติมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งปี ค.ศ. 1982 (พ.ศ. 2525) มีการจัดฟุตซอลชิงแชมป์โลกขึ้นที่ประเทศบราซิล และเจ้าภาพเองก็เป็นฝ่ายได้รับชัยชนะไป จึงมีการจัดการแข่งขันอย่างไม่เป็นทางการอีก 2 ครั้ง ในปี ค.ศ. 1985 (พ.ศ. 2528) และ ปี ค.ศ. 1988 (พ.ศ. 2531) ที่มีประเทศสเปนเเละออสเตรเลียเป็นเจ้าภาพ จนกระทั่งปี ค.ศ. 1989 (พ.ศ. 2532) สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ ได้เข้ามาดูแลจัดการเเข่งขันฟุตซอลชิงแชมป์โลกอย่างเป็นทางการ
กติกาฟุตซอล  


ประวัติฟุตซอล ข้อมูล กีฬาฟุตซอล


สนามแข่งขันฟุตซอล

          สนามเเข่งขันต้องเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ความยาวเส้นข้างต้องยาวกว่าความยาวเส้นประตู โดยสนามมีความยาวต่ำสุด 25 เมตร สูงสุด 42 เมตร ความกว้างต่ำสุด 15 เมตร สูงสุด 25 เมตร

ประวัติฟุตซอล ข้อมูล กีฬาฟุตซอล

ลูกบอลฟุตซอล

          ลูกบอลต้องเป็นทรงกลม ทำด้วยหนังหรือวัสดุอื่น ๆ เส้นรอบวงไม้น้อยกว่า 62 เซนติเมตร แต่ไม่เกิน 64 เซนติเมตร ขณะการแข่งขัน ลูกบอลต้องมีความดันลม ไม่น้อยกว่า 400 กรัม ไม่มากกว่า 440 กรัม ความดันลมของลูกบอลจะอยู่ที่ ความดันลมของลูกบอล 0.4 – 0.6 ระดับบรรยากาศ

ประวัติฟุตซอล ข้อมูล กีฬาฟุตซอล

วิธีการเล่นเซปักตะกร้อ
 วิธีการเล่นตระกร้อ
     

ขั้นตอนการฝึกการเล่นตะกร้อด้วยข้างเท้าด้านใน
1.  ผู้เล่นเตรียมรับลูกที่ลอยมา  โดยยืนทรงตัวแยกขาทั้งสองข้างย่อตัวลงเล็กน้อยตามองตรงไปยังลูกตะกร้อ  ยกเท้าที่จะเตะให้ข้างเท้าด้านในขนานกับพื้นแล้วเตะลูกเป็นแนวตรงและเอนตัว ไปด้านหลัง (ดังรูปที่  1 - 2)  






2.  เมื่อลูกที่เตะลอยขึ้น  ผู้เล่นย่อเข่าข้างที่ไม่ได้เตะ  ให้เท้าที่จะใช้เตะอยู่ด้านหลังเหวี่ยงเท้าข้างที่จะเตะสัมผัสลูกด้วยข้าง เท้าด้านในเพื่อส่งลูกไปตามทิศทางที่ต้องการ 








การเดาะตะกร้อด้วยหลังเท้า หมายถึง การเตะตะกร้อด้วยหลังเท้า  เบาๆ ซ้ำกันหลายๆครั้ง เป็นการเตะเพื่อบังคับลูกให้อยู่ใกล้ตัวในระดับสูงเกินสะเอว หลักการฝึกเช่นเดียวกับการเตะตะกร้อด้วยหลังเท้า แต่มีข้อแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย ซึ่งมีหลักการเตะตะกร้อด้วยหลังเท้า ดังนี้
  1. การเดาะลูกด้วยหลังเท้า ปลายเท้าที่เดาะลูกจะกระดกขึ้น และลูกตะกร้อจะถูกหลังเท้าค่อนไปทางปลายเท้าบริเวณโคนนิ้วเท้าทั้งห้า ใช้ปลายเท้าตวัดลูกตะกร้อให้ลอยขึ้นมาตรง ๆ
  2.  ยกเท้าที่เดาะลูกให้ต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้
  3. ขณะที่เดาะลูกควรก้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย
  4. ควรฝึกเดาะลูกตะกร้อด้วยหลังเท้าให้ได้ทั้งสอง 









การเดาะตะกร้อด้วยเข่า
         ยืนในท่าเตรียมพร้อม มือถือลูกตะกร้อโยนแล้วเดาะด้วยเข่าข้างถนัดต่อเนื่องกันจนกว่าลูกตะกร้อจะ ตกพื้น แล้วหยิบลูกตะกร้อขึ้นมาเดาะใหม่ ปฏิบัติเหมือนเดิมหลาย ๆ ครั้ง เมื่อพิจารณาแล้วเห็นว่า การเดาะด้วยเข่าข้างที่ถนัดดีแล้ว ให้เปลี่ยนเดาะด้วยเข่าข้างที่ไม่ถนัดบ้าง หรืออาจจะสลับการเดาะด้วยเข่าทั้งสองข้างก็ได้










การเล่นตะกร้อด้วยศีรษะ
       เป็นทักษะพื้นฐานที่มีความสำคัญสำหรับการเล่นกีฬาเซปักตะกร้อเป็นอย่างมาก นิยมใช้ในการเปิดลูกเสิร์ฟ การรุกด้วยศีรษะ ( การเขก ) การรับ การส่ง การชงลูก หรือการตั้งลูกตะกร้อ และการสกัดกั้นหรือการบล็อกลูกจากการรุกของฝ่ายตรงข้าม ผู้เล่นจะต้องฝึกหัดการเล่นตะกร้อด้วยศีรษะได้หลาย ๆ ลักษณะ โดยเฉพาะผู้เล่นตำแหน่งหน้าซ้ายและหน้าขวา จะต้องเล่นตะกร้อด้วยศีรษะได้เป็นอย่างดี 

1. สนามแข่งขันตะกร้อลอดห่วง (THE  COURT)








     1.1 สนามเป็นพื้นราบ จะอยู่ในร่มหรือกลางแจ้งก็ได้ มีวงกลมรัศมี  4  เมตร ความกว้างของเส้นวงกลมมีขนาด  เซนติเมตร
     1.2 สนามต้องไม่มีสิ่งกีดขวางใด ๆ วัดจากพื้นสนามขึ้นไปอย่างน้อยประมาณ  8  เมตร
     1.3 มีห่วงชัยแขวนอยู่  ณ  จุดศูนย์กลางของวงกลมกลางสนาม โดยเชือกที่แขวนห่วงมีความยาวจากรอกอย่างน้อย 50  เซนติเมตร


2. ห่วงชัย (THE  OFFICIAL  HOOP)

                ห่วงชัย ประกอบด้วยวงกลม วง ขนาดเท่ากัน โดยมีเส้นผ่าศูนย์กลางวัดจากขอบภายใน 50  เซนติเมตร ห่วงดังกล่าวทำด้วยโลหะ ต้องผูกหรือบัดกรีเชื่อมต่อกันให้แน่นเป็นรูป 3เส้า (สามเหลี่ยมวงห่วงแต่ละห่วงตั้งตรงและหุ้มด้วยวัสดุที่มีความนุ่ม ซึ่งวัดโดยรอบไม่เกิน  10 เซนติเมตร โดยมีถุงตาข่ายทำหรือถักด้วยด้ายสีขาวผูกรอบห่วงทุกห่วง ขอบล่างของห่วงต้องสูงจากพื้นสนาม  4.75  เมตร สำหรับผู้ชาย และ  4.50  เมตร สำหรับผู้หญิง

3. ลูกตะกร้อ (THE  SEPAKTAKRAW  BALL)
mt201.jpg (10759 bytes)    
     3.1 ลูกตะกร้อ ต้องมีลักษณะเป็นทรงกลม ทำด้วยหวายหรือใยสังเคราะห์ชั้นเดียว
     3.2 ลูกตะกร้อ ที่มิได้หุ้มด้วยยางสังเคราะห์ ต้องมีลักษณะดังนี้
            3.2.1 มี 12 รู
            3.2.2 มี 20 จุดตัดไขว้
            3.2.3 มีเส้นรอบวงวัดได้ไม่น้อยกว่า 41-43 เซนติเมตร สำหรับผู้ชาย และ 42-44 เซนติเมตร สำหรับผู้หญิง
           3.2.4 มีน้ำหนักระหว่าง 170-180 กรัม สำหรับผู้ชาย และ 150-160 กรัม สำหรับผู้หญิง
   3.3 ลูกตะกร้อจะมีสีเดียวหรือหลายสีหรือสีสะท้อนแสงก็ได้ แต่ไม่เป็นสีที่กระทบต่อผลการเล่นของนักกีฬา
     3.4 ลูก ตะกร้ออาจหุ้มด้วยยางสังเคราะห์หรือวัสดุผิวนุ่มที่มีความทนทาน เพื่อลดแรงกระทบต่อผู้เล่น ลักษณะของวัสดุและวิธีทำลูกตะกร้อหรือการเคลือบลูกตะกร้อด้วยยางดังกล่าว ต้องได้รับการรับรองจากสหพันธ์เซปักตะกร้อนานาชาติ ก่อนใช้ในการแข่งขัน
     3.5 การแข่งขันระดับโลกระดับนานาชาติระดับภูมิภาคที่รับรองโดย สหพันธ์เซปักตะกร้อนานาชาติ  (ISTAF)รวมทั้งการแข่งขันที่มิได้ถูกจำกัดในกีฬา โอลิมปิคเกมส์กีฬาเครือจักรภพเอเชี่ยนเกมส์ และซีเกมส์ ต้องใช้ลูกตะกร้อที่ได้รับการรับรองจาก สหพันเซปักตะกร้อนานาชาติ (ISTAF)


4. นักกีฬาหรือผู้เล่น (THE  PLAYERS)
     4.1 แต่ละทีมมีผู้เล่น คน และผู้เล่นสำรอง คน บัญชีรายชื่อผู้เล่นอย่างน้อย คน ซึ่งต้องส่งรายชื่อให้คณะกรรมการจัดการแข่งขันก่อนกำหนดการแข่งขัน 30 นาที
     4.2 ในระหว่างการแข่งขัน สามารถเปลี่ยนตัวผู้เล่นได้เพียง คน  ในกรณีที่นักกีฬาบาดเจ็บหรือการเปลี่ยนตัวทางเทคนิค โดยผู้ที่เปลี่ยนตัวเข้าใหม่ จะถูกนับคะแนนต่อจากผู้ที่ถูกเปลี่ยนตัวออกไป


5. เครื่องแต่งกายผู้เล่น (THE  PLAYERS  ATTIRES)
    5.1 อุปกรณ์ที่ใช้ต้องเหมาะกับการเล่นกีฬาตะกร้อ อุปกรณ์ใดที่ออกแบบเพื่อเพิ่มหรือลดความเร็วของลูกตะกร้อ,  เพื่อเพิ่มความสูงหรือเพิ่มการเคลื่อนไหว  หรือด้วยวิธีที่เป็นการได้เปรียบหรืออาจเป็นอันตรายต่อตัวผู้เล่นเอง หรือผู้เล่นฝ่ายตรงข้าม จะไม่อนุญาตให้ใช้
     5.2 เพื่อป้องกันข้อโต้แย้งและความสับสน ทั้งสองทีมที่ทำการแข่งขันต้องสวมเสื้อสีต่างกัน
     5.3 ทุกทีมต้องมีเสื้อสำหรับการแข่งขันอย่างน้อย  2  ชุด  และมีสีต่างกัน   โดยชุดหนึ่งเป็นสีอ่อนและอีกชุดหนึ่งเป็นสีเข้ม หากทั้งสองทีมสวมเสื้อสีเดียวกัน  ทีมเจ้าบ้านต้องเปลี่ยนสีเสื้อในการแข่งขัน  ในสนามกลางทีมที่มีชื่อแรกในโปรแกรมต้องเปลี่ยนสีเสื้อ
     5.4 อุปกรณ์ ของผู้เล่นประกอบด้วย เสื้อยืดคอปกหรือคอกลม กางเกงขาสั้น ถุงเท้าและรองเท้ากีฬาพื้นยางและไม่มีส้น อุปกรณ์และชุดแต่งกายถือเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายนักกีฬา  เสื้อต้องสวมอยู่ในกางเกงตลอดเวลา  ในกรณีอากาศหนาวอนุญาตให้ผู้เล่นสวมชุดวอร์ม
     5.5 เสื้อที่สวมต้องมีหมายเลขกำกับทั้งด้านหน้าและด้านหลัง  ผู้เล่นแต่ละคนต้องใช้หมายเลขประจำตลอดรายการแข่งขัน แต่ละทีมอนุญาตให้ใช้หมายเลข 1-15 ขนาดเบอร์ต้องสูงไม่น้อยกว่า 19 เซนติเมตร  สำหรับด้านหลัง  และสูงไม่น้อยกว่า 10 เซนติเมตร สำหรับด้านหน้า (ตรงกลางหน้าอก)
     5.6 หัวหน้าทีมของแต่ละทีมต้องสวมปลอกแขนที่มีสีต่างจากสีเสื้อไว้ที่แขนด้านซ้าย
      5.7 อุปกรณ์อื่นใดที่มิได้ระบุในกติกาการแข่งขันต้องได้รับการรับรองจากคณะกรรมการเทคนิคของสหพันธ์เซปักตะกร้อนานาชาติ  ก่อน


6. การอบอุ่นร่างกาย (WARMING  UP)
    6.1 อนุญาตให้เฉพาะเจ้าหน้าที่ทีม และผู้เล่น  6  คนของทีมทำการอบอุ่นร่างกายเป็นเวลา  2  นาทีในสนามแข่งขัน


7. การแข่งขัน (PLAYING  THE  GAME)
    7.1 พื้นที่สนามแข่งขัน คือพื้นที่ที่อยู่ภายในบริเวณป้ายโฆษณา (A – Boards)
    7.2 ห่วงชัยมีเจ้าหน้าที่ประจำทีมของแต่ละทีมเป็นผู้หย่อนลงและดึงขึ้น
    7.3 ผู้เล่นจะยืนกระจายอยู่โดยรอบนอกเส้นวงกลม ระหว่างการแข่งขันอนุญาตให้เปลี่ยนตำแหน่งยืนได้
    7.4 แต่ละทีมมีเวลาเล่น 30 นาที
   7.5 เมื่อผู้ตัดสินให้สัญญาณเริ่มการแข่งขัน   ผู้เล่นต้องโยนลูกตะกร้อให้ผู้เล่นตรงกันข้าม  ในการรับลูกตะกร้อดังกล่าว ต้องส่งให้ผู้เล่นคนหนึ่งคนใด หลังจากนั้นจึงสามารถส่งลูกเข้าห่วงชัยด้วยท่าที่กำหนดในข้อ 9.2 เป็นลูกได้แต้ม
  7.6 ขณะโยนลูกตะกร้อ ผู้เล่นทุกคนต้องยืนอยู่นอกวงกลม หลังจากนั้นจึงจะสามารถเคลื่อนไหวได้อิสระ
    7.7 ลูกที่ตกลงพื้นหรือเข้าห่วงถือเป็นลูกตาย
    7.8 ผู้เล่นที่ทำลูกตาย จะเป็นผู้โยนลูกเพื่อการเริ่มเล่นใหม่
    7.9 สามารถเปลี่ยนลูกตะกร้อใหม่ได้ กรณีที่ลูกตะกร้อไม่ได้อยู่ระหว่างการเล่น
    7.10 ระหว่างที่ลูกตะกร้ออยู่ในการเล่น  ไม่อนุญาตให้ผู้เล่นใช้มือจับลูกตะกร้อ  จะอนุญาตให้ผู้เล่นใช้มือจับลูกตะกร้อเฉพาะกรณีที่ลูกตาย และต้องโยนลูกตะกร้อ
    7.11 การโยนลูกตะกร้อเพื่อการเริ่มเล่นใหม่ จะกระทำได้แต่การส่งผ่านลูกให้ได้คะแนนจะเกิดได้เมื่อห่วงชัยถูกชักขึ้นอยู่ในความสูงที่กำหนด
    7.12 กรณีที่ลูกตะกร้อกระดอนออกนอกสนามแข่งขันผู้เล่นในทีมอาจขอลูกใหม่จากกรรมการผู้ตัดสินประจำสนาม
       7.13 กรณีต่อไปนี้ถือเป็นลูกตาย และให้โยนใหม่
            7.13.1 ลูกตะกร้อตกพื้นสนาม
            7.13.2 ลูกตะกร้อค้างหรือเข้าห่วง
            7.13.3 ลูกตะกร้อถูกวัตถุอื่น


8. ผิดกติกา (FAULT)
    8.1 ลูกตะกร้อถูกมือของผู้เล่น
    8.2 ผู้เล่นคนหนึ่งคนใดเล่นลูกเกิน ครั้งติดต่อกัน
    8.3 ผู้เล่นเจตนาใช้มือจับลูกตะกร้อในระหว่างการแข่งขัน


9. การให้คะแนน (SCORING)
    9.1 ผู้เล่นจะได้คะแนน 10 คะแนน  ที่สามารถทำให้ลูกตะกร้อเข้าห่วงชัยไม่ว่าจะเป็นท่าใดก็ตาม ที่กำหนดไว้โดยไม่คำนึงถึงความยากของแต่ละท่า ยกเว้น
          9.1.1 ใช้ท่าเดิมซ้ำกันเกิน ครั้ง
          9.1.2 ใช้ท่าต่างจากที่กำหนดไว้ในข้อ 9.2
          9.1.3 ทำได้จากการส่งผ่านครั้งแรก หลังจากรับลูกโยน
          9.1.4 ลูกตะกร้อกระดอนออกจากห่วง
          9.1.5 ทำลูกตะกร้อเข้าห่วงภายหลังสัญญาณหมดเวลา
    9.2 ลำดับความยากของท่าต่าง ๆ ในการแข่งขัน
          9.2.1 ลูกศีรษะ (ลูกโหม่ง)
          9.2.2 ลูกข้างเท้าด้านใน (ลูกแป)
          9.2.3 ลูกไหล่
          9.2.4 ลูกเข่า
          9.2.5 ลูกข้างเท้าด้านนอก (ลูกข้าง)
          9.2.6 ลูกกระโดดไขว้
          9.2.7 ลูกเตะด้านหลัง (โค้งหลัง)
          9.2.8 ลูกเตะด้านหน้า (หลังเท้า)
    9.3 ทีมที่ทำคะแนนรวมได้สูงสุดเป็นผู้ชนะ
  9.4 กรณีที่คะแนนรวมเท่ากัน ตัดสินแพ้ชนะโดยการเล่นไทเบรก กรรมการผู้ตัดสินจะเป็นผู้เสี่ยงโยนเหรียญ  หรือแผ่นกลม ทีมที่ชนะการเสี่ยงจะเป็นผู้เริ่มเล่นก่อน   แต่ละทีมจะได้เวลาเล่นทีมละ นาที   โดยใช้กติกาเดิมที่กำหนดไว้ และต้องทำแต้มให้ได้สูงสุด หากยังได้คะแนนเท่ากันอีกก็ให้เล่นไทเบรกต่อไปจนกว่าจะได้ผู้ชนะ


10. เจ้าหน้าที่จัดการแข่งขัน (OFFICIALS)
      10.1 .ในการแข่งขันระดับนานาชาติ ต้องมีเจ้าหน้าที่ดังนี้
                I) กรรมการผู้ชี้ขาด คน
               II) ผู้ตัดสิน คน
                       -  ผู้ตัดสิน
                    -  ผู้ควบคุมคะแนน
                    -  ผู้กำกับคะแนน
                      -  ผู้รักษาเวลา


11. กรรมการผู้ตัดสิน (REFEREE)
      11.1 กรรมการตัดสินต้องอยู่ในสนามทั้งระหว่างการอบอุ่นร่างกายและระหว่างการแข่งขัน   ซึ่งจะต้องทำหน้าที่กำกับการแข่งขันให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยราบรื่นและต้องรับผิดชอบดังนี้ :-
      11.2 ต้องตรวจดูผู้เล่นมิให้สวมใส่หรือใช้อุปกรณ์ที่จะเป็นอันตรายต่อการแข่งขัน
      11.3 จะต้องให้สัญญาณในการเริ่มอบอุ่นร่างกายและเวลาการอบอุ่นร่างกายตลอดจนเวลาเริ่มและสิ้นสุดการแข่งขัน
      11.4 ขานหรือแจ้งเมื่อมีการทำผิดกติกาในระหว่างการแข่งขัน
      11.5 ตรวจสอบว่าผู้ที่ทำลูกเสียจะต้องเป็นผู้เริ่มส่งลูกเริ่มเล่น
      11.6 เป็นผู้อนุญาตให้มีการพักทางเทคนิคกรณีที่มีการบาดเจ็บหรือเหตุอื่นใดในระหว่างการแข่งขัน
      11.7 เป็นผู้ให้บัตรเหลืองหรือแดงกรณีที่มีผู้เล่นกระทำผิดตามกติกาที่กำหนดในข้อ 16
      11.8 เมื่อเสร็จการแข่งขัน    กรรมการตัดสินจะยืนแถวตรงหน้าโต๊ะกรรมการเพื่อรับทราบคะแนนรวมจากกรรมการควบคุมคะแนน
      11.9 เพื่อตรวจสอบว่าการได้คะแนนนั้น ทำได้ขณะที่ห่วงอยู่ในระดับที่กำหนด


12. กรรมการคะแนน (SCOREKEEPER)
      12.1 กรรมการคะแนนจะต้องนั่งอยู่ข้างผู้ควบคุมคะแนนที่โต๊ะกรรมการผู้ตัดสิน
      12.2 ต้องทำหน้าที่บันทึกคะแนนในใบบันทึก และจำนวนครั้งในแต่ละท่าของผู้เล่นแต่ละคน
      12.3 ต้องคอยแจ้งผู้ควบคุมคะแนน ถึงจำนวนครั้งที่ผู้เล่นแต่ละคนสามารถเล่นได้คะแนนในแต่ละท่า


13. กรรมการรักษาเวลา (TIMEKEEPER)
      13.1 กรรมการรักษาเวลาต้องนั่งอยู่ข้างกรรมการกำกับคะแนนที่โต๊ะกรรมการ
      13.2 เป็นผู้ให้สัญญาณนกหวีดเวลาเริ่มและสิ้นสุดการอบอุ่นร่างกายและการแข่งขัน
      13.3 หยุดเวลาเมื่อกรรมการผู้ตัดสินให้สัญญาณเวลานอกทางเทคนิค
      13.4 เป็นผู้บันทึกคะแนนในเครื่องนับคะแนนอิเล็คโทรนิคตามการประกาศของกรรมการผู้ควบคุมคะแนน
      13.5 ต้องตรวจสอบว่าห่วงถูกชักถึงระดับความสูงที่กำหนด


14. กรรมการควบคุมคะแนน (SCORE  CONTROLLER)
      14.1 ผู้ควบคุมคะแนนต้องนั่งอยู่ที่โต๊ะกรรมการ
      14.2 เมื่อผู้เล่นทำแต้มได้ ผู้ควบคุมคะแนนจะเป็นผู้ประกาศโดยเริ่มจากหมายเลขผู้เล่น จำนวนครั้งของท่าที่ทำได้ เช่น “หมายเลข 1” ท่ากระโดดไขว้ครั้งที่ หรือ "หมายเลข 10” ท่าลูกข้างเท้าด้านในครั้งที่ 3
      14.3 เมื่อ ทำคะแนนได้แต่เกินจำนวนครั้งในท่าดังกล่าว ผู้ควบคุมคะแนนจะประกาศโดยเริ่มจากหมายเลขเสื้อของผู้เล่น จำนวนครั้งที่ทำได้และบอกว่า "ไม่มีคะแนนเช่น "หมายเลข 2” ท่ากระโดดไขว้ ครั้งที่ ไม่มีคะแนน
      14.4 ผู้เก็บลูกตะกร้อต้องอยู่นอกบริเวณสนามแข่งขัน   เพื่อคอยเก็บลูกตะกร้อที่กระดอน หรือหลุดออกนอกบริเวณสนาม  และต้องส่งลูกกลับไปยังโต๊ะกรรมการผู้ตัดสิน
      14.5 ผู้ชักรอกห่วง มีหน้าที่ชักและลดห่วงในระหว่างการแข่งขัน   ซึ่ง จะต้องอยู่ใกล้โต๊ะกรรมการผู้ตัดสินและใกล้กับกรรมการผู้รักษาเวลา ซึ่งต้องคอยดูว่าเชือกและเสาห่วงได้ถูกชักขึ้นไปได้ความสูงตามที่กำหนด


15. วินัย (DISCIPLINE)
       15.1 ผู้เล่นทุกคนต้องปฏิบัติตามกติกาการเล่น
       15.2 อนุญาต ให้เฉพาะหัวหน้าทีม ที่จะติดต่อกับกรรมการผู้ตัดสินในระหว่างการแข่งขันทั้งในเรื่องที่เกี่ยว กับตำแหน่ง หรือเกี่ยวกับผู้เล่นในทีม   หรือเพื่อขอคำอธิบายเกี่ยวกับคำตัดสินของคณะกรรมการในการแข่งขัน    ซึ่งกรรมการผู้ตัดสินต้องชี้แจงหรืออธิบายต่อหัวหน้าทีม
      15.3 ผู้จัดการทีมผู้ฝึกสอนนักกีฬา  และเจ้าหน้าที่ประจำทีม  จะ ไม่อนุญาตให้โต้เถียงคำตัดสินของกรรมการ หรือกระทำการที่เป็นการขัดขวางการดำเนินการแข่งขัน หากมีการฝ่าฝืนจะถือเป็นความผิดวินัยร้ายแรง


16. การลงโทษ (PENALTY)
      16.1 กรณี ที่ผู้เล่นเจตนาใช้มือสัมผัสลูกตะกร้อในระหว่างที่ลูกตะกร้ออยู่ในการเล่น กรรมการผู้ตัดสินจะให้บัตรเหลืองเพื่อการทำโทษทันที หากผู้เล่นคนเดิมทำผิดซ้ำอีก กรรมการผู้ตัดสินจะให้บัตรแดงในการทำโทษ
      16.2 การ ให้บัตรแดงในการทำโทษ หมายถึง การเล่นในเกมดังกล่าวต้องยุติและไม่อนุญาตให้มีการเปลี่ยนตัว คะแนนรวมสุดท้ายจนถึงเหตุการณ์ดังกล่าวถือเป็นคะแนนที่ทำได้
       16.3 การทำผิดกติกาและผิดวินัยจะถูกลงโทษดังนี้ 


การลงโทษทางวินัย
      16.4 การตักเตือน
              ผู้เล่นจะถูกตักเตือนและให้บัตรเหลือง หากกระทำผิดใน ประการดังนี้ 
             16.4.1 ประพฤติปฏิบัติตนไม่มีน้ำใจนักกีฬา เช่น แสดงหรือกระทำการขาดจริยธรรมและวินัยของนักกีฬา ซึ่งมีผลกระทบต่อการดำเนินการแข่งขัน
              16.4.2 แสดงกิริยา หรือคำพูดหยาบคาย
              16.4.3 ทำผิดกติกาบ่อย ๆ
              16.4.4 ถ่วงเวลาการเล่น
              16.4.5 เข้า-ออกสนามโดยไม่ได้รับอนุญาตจากกรรมการผู้ตัดสิน
              16.4.6 ผละจากสนามแข่งขัน โดยไม่ได้รับอนุญาตจากกรรมการผู้ตัดสิน
      16.5 ถูกให้ออก
              ผู้เล่นที่ถูกให้ออกจากการแข่งขันและได้รับบัตรแดงหากทำผิดกรณีหนึ่งกรณีใดใน กรณี ดังนี้ 
                16.5.1 มีความผิดเพราะทำผิดกติการ้ายแรง
              16.5.2 มีความผิดเพราะการกระทำที่เจตนาทำร้ายฝ่ายตรงข้ามให้บาดเจ็บ
                16.5.3 ถ่มน้ำลายใส่ฝ่ายตรงข้ามหรือบุคคลอื่น
                16.5.4 ใช้ถ้อยคำหยาบคายหรือไม่เหมาะสม
                16.5.5 ได้รับบัตรเหลืองเป็นครั้งที่สองในการแข่งขันเกมเดียวกัน
      16.6 ผู้เล่นที่กระทำผิด  หรือประพฤติไม่เหมาะสมไม่ว่าจะเป็นภายในหรือภายนอกสนามแข่งขัน โดยที่กระทำต่อฝ่ายตรงข้ามเพื่อนร่วมทีมกรรมการผู้ตัดสินและผู้ช่วยผู้ตัดสิน หรือบุคคลอื่น ซึ่งเป็นเหตุให้ได้รับบัตรเหลือง จะได้รับโทษทางวินัย ดังนี้ 
               16.6.1 บัตรเหลืองใบแรก
                           โทษ :
                            -  ตักเตือนตามปกติ
               16.6.2 บัตรเหลืองใบที่สองในผู้เล่นคนเดียวกันในเกมแข่งขันคนละเกม แต่เป็นรายการแข่งขันเดียวกัน
                           โทษ :
                            -  พักการแข่งขัน  1  แมทซ์
                16.6.3 บัตรเหลืองใบที่สามหลังจากถูกพักการแข่งขันเนื่องจากได้บัตรเหลือง ใบในรายการแข่งขัน โดยผู้เล่นคนเดิม
                           โทษ :
                            -  พักการแข่งขัน  2  แมทซ์
                            -  ปรับเงิน 100 เหรียญสหรัฐอเมริกา ซึ่งสโมสรหรือผู้รับผิดชอบนักกีฬาผู้นั้นเป็นผู้จ่าย
                 16.6.4 บัตรเหลืองใบที่สี่
                            ได้รับบัตรเหลืองหลังจากที่ถูกพักการแข่งขัน  2  แมทซ์     จากการได้รับบัตรเหลืองใบที่สามในรายการแข่งขันเดียวกันและนักกีฬาคนเดิม
                            โทษ :
                             -  ให้ ออกจากการแข่งขันในแมทซ์ถัดไป และรายการแข่งขันที่รับรองโดยองค์กรเซปักตะกร้อจนกว่าคณะกรรมการวินัยจะได้ มีการประชุมเพื่อพิจารณาในเรื่องดังกล่าว
                 16.6.5 ได้รับบัตรเหลืองใบที่สองโดยผู้เล่นคนเดิมในแมทซ์การแข่งขันเดียวกัน
                            โทษ :
                             -  พักการแข่งขัน  2  แมทซ์
                             -  ปรับเป็นเงิน 100 เหรียญสหรัฐอเมริกา ซึ่งสโมสรหรือบุคคลที่รับผิดชอบนักกีฬาดังกล่าวเป็นผู้จ่าย
                             -  หากมีการกระทำผิดวินัยในการแข่งขันในแมทซ์อื่น       แต่เป็นการแข่งขันในรายการเดิมอีกจะได้รับบัตรแดง
      16.7 ผู้เล่นที่กระทำผิดวินัยร้ายแรงไม่ว่าจะเป็นการกระทำใน  หรือนอกสนามแข่งขัน ซึ่งเป็นการกระทำต่อฝ่ายตรงข้ามเพื่อนร่วมทีมกรรมการผู้ตัดสินผู้ช่วยผู้ตัดสินหรือบุคคลอื่น และได้รับบัตรแดง จะได้รับการพิจารณาโทษ ดังนี้ 
               16.7.1 บัตรแดง
                          โทษ :
                           -  ให้ออกจากการแข่งขัน   และให้พักการแข่งขันในรายการที่รับรองโดยองค์กรกีฬาเซปักตะกร้อจนกว่าคณะกรรมการวินัยจะได้มีการพิจารณาและมีการตัดสินในเรื่องดังกล่าว


17. การกระทำผิดทางวินัยของเจ้าหน้าที่ประจำทีม (MISCONDUCT  OF  TEAM OFFICIALS)
      17.1 การ ลงโทษทางวินัยจะกระทำต่อเจ้าหน้าที่ประจำทีมในกรณีที่ประพฤติในสิ่งมิบังควร หรือรบกวนการแข่งขันไม่ว่าจะในสนามแข่งขัน หรือนอกสนามแข่งขัน
      17.2 เจ้าหน้าที่ประจำทีมที่ประพฤติในสิ่งมิบังควรหรือรบกวนการแข่งขันจะถูกเชิญให้ออกจากสนามแข่งขันโดยเจ้าหน้าที่ที่จัดการแข่งขัน  และกรรมการผู้ตัดสิน   และจะถูกพักการปฏิบัติหน้าที่ประจำทีมจนกว่าคณะกรรมการวินัยจะได้พิจารณาตัดสินในกรณีดังกล่าว